ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู


ศาสนาฮินดูเป็นศาสนาที่ประชาชนส่วนใหญ่ของอินเดียนับถือในประเทศไทยคนรู้จักศาสนาฮินดูในชื่อว่า ศาสนาพราหมณ์ ดังนั้นชื่อทางราชการของศาสนาฮินดูในประเทศไทย คือ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูแต่ในบทความนี้ขอใช้ชื่อว่าศาสนาฮินดูแทน เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงที่ใช้กันในวงวิชาการทั่วไป ความจริงนักวิชาการหลายคนเรียกศาสนายุคที่ยึดถือคัมภีร์ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท อถรรพเวท พราหมณะ อารัณยกะและอุปนิษัท ว่าศาสนาพระเวท (Vedic Religion) หรือศาสนาพราหมณ์(Brahmanism) เพื่อแยกให้เห็นความแตกต่างกับศาสนาฮินดู (Hinduism)ซึ่งพัฒนามาจากศาสนาพระเวทหรือศาสนาพราหมณ์นั่นเอง
ศาสดา
                ศาสนาพราหมณ์  เป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดา  นับถือพระเจ้าหลายพระองค์  เทพเจ้าที่สำคัญ  ได้แก่
–  พระพรหม  เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล

–  พระวิษณู   เป็นผู้คุ้มครองโลก
–  พระอิศวร     เป็นผู้ทำลายโลกและสร้างโลกขึ้นใหม่
คัมภีร์
1)  ฤคเวท  เป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุด  เป็นบทสวนหรือมนต์สรรเสริญอ้อวนวอนพระผู้เป็นเจ้า  บทสวดคัมภีร์ฤคเวทเป็นบทร้อยกรอง
2)  ยชุรเวท  เป็นคัมภีร์ที่เป็นคู่มือประกอบพิธีกรรมของพราหมณ์  ซึ่งเป็นบทร้อยแก้วที่อธิบายวิธีการประกอบพิธีกรรม  บวงสรวงและการทำพิธีบูชายัญ
3)  สามเวท  เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดมนต์  ซึ่งเป็นบทร้อยกรอง  ใช้สำหรับสวดในพิธีถวายน้ำโสมและขับกล่อมเทพเจ้า
4)  อาถรรพเวท  เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นใหม่ในปลายสมัยพราหมณ์  เป็นคาถาอาคมมนต์ขลังศักดิ์สิทธิ์  สำหรับทำพิธีไล่เสนียดจัญไร  และอัปมงคลให้กลับมาเป็นมงคลนำความชั่วร้ายไปบังเกิดแก่ศัตรู
นิกาย
1. นิกายไวศณพ (Vishnav) เป็นนิกายที่นับถือพระวิษณุเจ้าเป็นเทพองค์สูงสุด เชื่อว่าวิษณุสิบปาง หรือนารายณ์ ๑๐ ปางอวตารลงมาจุติ มีพระลักษมีเป็นมเหสี มีพญาครุฑเป็นพาหนะ นิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดียภาคเหนือและภาคกลาง ของประเทศ นิกายนี้เกิดเมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ สถาปนาโดยท่านนาถมุนี (Nathmuni)
2. นิกายไศวะ (Shiva) เป็นนิกายที่เก่าที่สุด นับถือพระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด พระศิวะเป็นเทพทำลายและสร้างสรรค์ด้วย สัญลักษณ์ อย่างหนึ่งแทนพระศิวะคือศิวลึงค์และโยนีก็ได้รับการบูชา เช่น องค์พระศิวะ นิกายนี้ถือว่าพระศิวะเท่านั้นเป็นเทพสูงสุดแม้แต่พระพรหม, พระวิษณุก็เป็นรองเทพเจ้าพระองค์นี้ นิกายนี้เชื่อว่า วิญญาณเป็นวิถีทางแห่งการหลุดพ้นมากกว่าความเชื่อในลัทธิภักดี นิกายนี้จะนับถือพระศิวะและพระนางอุมาหรือกาลีไปพร้อมกัน
3. นิกายศักติ (Shakti) เป็นนิกายที่นับถือพระเทวี หรือพระชายาของมหาเทพ เช่น สรัสวดี พระลักษมี พระอุมา เจ้าแม่ทุรคา และเจ้าแม่กาลีซึ่งเป็นชายาของมหาเทพทั้งหลาย เป็นผู้ทรงกำลังหรืออำนาจของเทพสามีไว้ จึงเรียกว่า ศักติ (Power) นิกายนี้เป็นที่นิยมในรัฐเบงกอล และรัฐอัสสัม เป็นต้น
4. นิกายคณะพัทยะ (Ganabadya) นิกายนี้นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ถือว่าพระพิฆเนศเป็นศูนย์กลางแห่งเทพเจ้าทั้งหมดในศาสนา เชื่อว่าเมื่อได้บูชาพระพิฆเนศอย่างเคร่งครัด ก็เท่ากับได้บูชาเทพอื่นๆ ครบทุกพระองค์
5. นิกายสรภัทธะ (Sarabhadh) เป็นนิกายขนาดเล็ก ในสมัยก่อนบูชาพระอาทิตย์ (สูรยะ) มีผู้นับถือมากในอดีต ปัจจุบันมีจำนวนน้อย นิกายนี้มีพิธีอย่างหนึ่งคือ กายตรี หรือ กายาตรี (Gayatri) ถือว่ามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ คือการกลับมาของพระอาทิตย์เป็นฤๅษีวิศวามิตร
6. นิกายสมารธะ (Samardha) เป็นนิกายที่ใหญ่พอสมควร นับถือทุกเทพเจ้าทุกพระองค์ในศาสนา ฮินดู ความเชื่อแบบนี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถบูชาเจ้าได้ตามต้องการ
หลักคำสอน
หลักอาศรม ๔ หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพื่อยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น จนบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต คือ หลุดพ้นจากสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) แบ่งออกเป็น ๔ ขั้นตอน ได้แก่ พรหมจารี คฤหัสถ์ วานปรัสถ์ และ สันยาสี
                    ๑) พรหมจารี เป็นวัยที่ต้องศึกษาเล่าเรียน เด็กชายทุกคนที่เกิดในวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ เมื่อมีอายุครบ ๕ ปี ๘ ปี และ๑๖ ปี ตามลำดับจะต้องเข้าพิธีมอบตนเป็นศิษย์เพื่อศึกษาพระเวทกับอาจารย์
                    ๒) คฤหัสถ์ เป็นวัยแห่งการครองเรือน เมื่อสำเร็จการศึกษา พราหมณ์เหล่านี้ก็จะกลับคืนสู่บ้านเรือน เพื่อแต่งงานและมีบุตรสืบสกุล พร้อมกับทำหน้าที่ผู้ครองเรือนในฐานะหัวหน้าครอบครัว
                    ๓) วานปรัสถ์ เป็นช่วงเวลาในการทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ คือ การออกบวชเข้าสู่ป่า เพื่อฝึกจิตให้บริสุทธิ์ การเข้าป่าเพื่อหาความสงบนี้อาจทำเป็นครั้งคราวแล้วกลับสู่เรือนอีกก็ได้
                    ๔) สันยาสี เป็นขั้นสุดท้ายของชีวิต โดยสละชีวิตคฤหัสถ์เพื่อออกบวชบำเพ็ญเพียรตามหลักของศาสนา เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากสังสารวัฎเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายของชีวิต คือ โมกษะ
หลักธรรมเพื่อการอยู่ร่วมการอย่างสันติสุข
1.ไม่พึงทำร้ายผู้อื่น
2.มีความกรุณา

3.ต้อนรับผู้อื่นด้วยความเต็มใจ
4.มีสัจจะ
5.ไม่ลักทรัพย์
 พิธีกรรมที่สำคัญ
1. พิธีศราทธ์ คือ พิธีทำบุญให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
2. พิธีประจำบ้าน ได้แก่
    - พิธีอุปนยัน คือ พิธีเริ่มการศึกษา ถ้าเป็นหญิงยกเว้น
    - พิธีวิวาหะ คือ พิธีแต่งงาน
3. ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทศย์ ศูทร  แต่ละวรรณะมีการดำเนินชีวิตที่ต่างกันจึงต้องปฏิบัติตามวรรณะของตน เช่น การแต่งงาน การแต่งกาย เป็นต้น
4. พิธีบูชาเทพเจ้า แต่ละวรรณะจะมีการปฏิบัติต่างกันในเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานศิวะราตรี (พิธีลอยบาป) งานบูชาเจ้าแม่ลักษมี (เทวีแห่งสมบัติและความงาม) เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น